ขอให้ชาวนครพนม คัดค้านการนำเอาพระธาตุพนม ไปประดับบนยอดหลังคาอาคารด่านศุลกากรนครพนม ที่สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 จังหวัดนครพนม

2 ต.ค. 2553

วณิพก ไม่ใช่ กระยาจก

    
                     เมื่อหลายวันก่อน เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ๆพาฝรั่งสูงวัยชาวอเมริกันคนนึงมาหา ขอให้ ช่างเขียน ช่วยพาเขาไปรู้จักเมืองนครฯของเราซักหน่อย  
              ตอนนั้นก็เย็นมากแล้ว ก็เลยถามเขาว่า " คุณเป็นใคร มาจากไหน และอยากรู้เรื่องอะไรบ้างล่ะ "  เขาก็บอกว่า เขาชื่อ ทอม มาจากแอลเอเป็นนักเขียนเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกิน ก็อยากรู้ว่าคนเมืองนี้ เขากินกันยังไง  ชอบอาหารแบบไหน  ก็นึกรู้ขึ้นมาทันทีว่า  เขาคงอยากไปดูมากกว่าไปกิน  ก็บอกว่าได้เลย  งั้นจะพาไปดูที่ถนนคนเดินตรงปลายถนนเฟื่องนคร หรือ ตลาดโต้รุ่ง ตามที่ชาวบ้านเรียกขานกัน 
            ซึ่งจริงๆแล้ว ที่ตรงนี้ก็ไม่ได้ซื้้อขายกันจน โต้รุ่ง โต้แจ้ง อะไรหรอก  เพราะแค่ 2-3 ทุ่ม คนซื้อก็วาย คนขายก็รีบเก็บของกลับบ้านหมดแล้ว  เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้จะทุรังเรียก โต้รุ่ง ไปทำไม  ถ้าจะเรียกว่า " ตลาดค่ำ " หรือ " ตลาดแลง " ก็ดูเหมาะสมดี  หรือถ้ากลัวว่าจะไปซ้ำกับที่อื่น  ก็อาจจะตั้งว่า  " ตลาดรีบขาย รีบเก็บ " ให้มันแปลกหูซะงั้น  ก็ไม่เลวนะ






  


                ไปถึงถนนคนเดิน  ตอนราวห้าโมงกว่าๆ แม่ค้าพ่อขายบางเจ้าก็กำลังตั้งแผงขายของอยู่ คนยังไม่เยอะ  จึงสะดวกแก่การเดินชม
           บรรยากาศของการจับจ่ายก็มีพอสมควร  เหลียวไปซ้าย ก็เห็นแต่แผงลอยขายอาหารสำเร็จรูปสลับกับอาหารตามสั่งสาระพัดอย่าง  เหลียวไปขวา ก็เจอแผงขายอาหารเรียงรายสลับกับขนมผลไม้
           เป็นไกด์พา ทอม เดินชมความหลากหลายบนสองฟากฝั่งถนน  ซ้ายทีขวาทีไปได้ซักหน่อย  ก็เจอ ขอทานชายคนหนึ่งหมอบราบบนพื้นถนนอยู่ข้างหน้า
          แรกที่เห็นชายขอทานคนนี้  ปากที่กำลังเพลินกับการอธิบายความอุดมสมบูรณ์ของประเทศที่กำลังจะเป็น ครัวของโลก  ก็อ้าค้างอยู่วินาที  อ้าว คนโหยหิวยังมีอยู่




  
               สะดุดไปนิด ก็เดินต่อไปอีกหน่อย ก็เจอ ขอทานหญิงสูงวัยคนหนึ่งนั่งพับเพียบพนมมือแต้ร้อง หมอลำ เสียงใสอยู่กลางถนน  แต่พอจะก้าวผ่านไป  เสียงลำกลอนที่ลื่นไหลเหมือนออกมาจากหัวใจของเธอ ก็ทำให้เราคิดได้  เอ๊ ยายป้าคนนี้แกเป็น วณิพก นี่หว่า  เพราะร้องเพลงให้ฟังและไม่ได้ขอทานมือเปล่า  ก็เลยกลับมาหยอดเงินให้เธอก่อนจะเดินต่อไป     
         ว่าแต่ แม่ใหญ่หมอลำ คนนี้แกมาประจำที่นี่แต่เมื่อไหร่กันล่ะ  เพราะไอ้เราก็มาอยู่บ่อยๆแต่ทำไมไม่เคยเจอเลย   แต่เผอิญวันนั้นยังมีภารกิจกับฝรั่งอยู่  ก็เลยตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะมาขอพูดคุยกับเธอดูเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง  แต่แล้ววันรุ่งขึ้นเมื่อมาที่โต้รุ่งก็ไม่พบ  จึงไปถามแม่ค้าที่ขายของแถวนั้น  ก็ได้คำตอบว่า การมาของเธอเอาแน่ไม่ได้ ก็เลยต้องมาคอยดักทุกวัน แต่กระทั่งวันนี้ ก็ยังไม่ได้พบเห็นเธออีกเลย
หากมีใครรู้จักหรือมีข้อมูลของเธอ กรุณาแจ้งให้ทราบด้วย ว่าเธออยู่ที่ไหน เป็น พลบ้าน พลตำบล ใด  ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ครับ

                  ฝรั่งทอม ที่เดินมาด้วยกันคงสังเกตุสีหน้าของเราออก  ก็เลยกระซิบบอกว่า " ไม่ต้องอายผมหรอก  คนที่ออกมาขอเงิน ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเพื่อความอยู่รอดแบบนี้   ประเทศของผมก็มี  ส่วนใหญ่เป็นคนไม่มีบ้าน หรือไม่ก็ตกงาน และก็มีไม่น้อยที่มาขอเงินเพราะติดเหล้ายาเสพติดงอมแงม
ขอทานฝรั่ง ที่ส่วนใหญ่จะติดเหล้าและเป็นคนไร้บ้าน

สังเกตุภาชนะรับเงินจะเป็นถ้วยกระดาษใบโต  รายนี้เอาหมาคู่ใจมาช่วยขอทานด้วย

คนไร้บ้าน  ก็อาศัยริมถนนเป็นที่พักพิง  และขอรับบริจาคจากผู้คนที่เดินผ่าน

คนตกงาน  ชูถ้วยกระดาษ  แสดงสัญญลักษณ์การขอความช่วยเหลือ

คนพิการตาบอดแบบนี้ คงจะพึ่งพิงอาศัยถนนไปอีกนาน


เอกลักษณ์ของการขอเงินคือ  ป้ายกระดาษ " ผมหิว  ช่วยด้วย "

ชายคนนี้ ถือป้ายแสดงความรันทดของชีวิต ที่อยากเห็นใจ แต่ไม่น่าเห็นใจ
           คุณจะพบการขอเงินในลักษณะต่างๆ เช่น  ออกมายืนบนทางเท้า มือหนึ่งถือป้ายที่เขียนปัญหาของเขา และอีกมือก็ถือถ้วยกระดาษให้คนหยอดเงิน และแบบศิลปินเปิดหมวก ที่ดูดีหน่อย คือ ถ้าใครมีฝีมือร้องเพลงเป็นเล่นดนตรีได้ก็จะออกมาโชว์เสียงดีดสีตีเป่าตามถนัดบนย่านที่มีคนมากๆ  โดยมีภาชนะมารับเงินด้วย  บางคนเป็นมือสมัครเล่น บางคนก็ทำเป็นอาชีพเลย  และมันก็ไม่ได้น่าอายตรงไหน  เพราะศิลปะการขับร้องการเล่นดนตรีเป็นเครื่องหมายแห่งวัฒนธรรมที่งอกงาม "

วณิพกยิบซี  ต้นฉบับของ วณิพกพเนจร ที่มีเสียงร้องกับเสียงดนตรีแลกกับเงิน

วณิพกพเนจรฝรั่ง แบบศิลปินเดี่ยวนี้มีเห็นได้ทั่วไปบนถนนที่มีคนพลุกพล่าน
ฝากระเป๋าที่เปิด  ก็เพื่อให้คนหย่อนเงินให้  

วณิพกแบบบิ๊กแบน บางคนมีวิญญานศิลปินสูงไม่ชอบเป็นลูกจ้างใคร
ก็ชักชวนเพื่อนฝูงที่ใจรักเหมือนกัน ออกมาเล่นดนตรีอยู่ริมถนน 


บางคนมีงานประจำทำ แต่ชวนกันมาหารายได้เสริม         

                 เมื่อฟังฝรั่งเขาพูดถึงบ้านเมืองเขายังงี้  ก็เลยทำให้นึกถึง การออกมาขอทาน ในเมืองนครพนมเมื่อหลายสิบปีก่อน  จำได้ว่า ในช่วงหน้าแล้งของทุกๆปี ประมาณกลางๆหน้าหนาวไปจนถึงหน้าร้อน

  
          จนเกือบจะชินตากับภาพการขอทาน  ส่วนมากก็จะเป็นชาวบ้านจากชนบทรอบนอก มีทั้งเด็กผู้ใหญ่ทั้งร่างกายปรกติและพิการ  ที่เป็นแม่กระเตงลูกอ่อนก็มี ที่เป็นเด็กเดินจูงคนแก่หรือคนพิการก็มี พากันออกมาขอทานเงินตามบ้านร้านรวงในเมือง  บ้างก็ขอยาแก้ไข้ บ้างก็ขอของใช้แล้วเช่น ผ้าห่มหรือพวกเสื้อผ้าเก่าๆ


         บางรายที่แก่ชราหรือพิการมากก็มานั่งไหว้ขอเงิน    ส่วนที่พิการแต่ยังพอมีแรง   ก็มาแลกด้วยเสียงเพลงลำกลอน (หมอลำ ) ที่ลำเรื่องถึงชีวิตที่ลำเค็ญ เคล้าไปกับเสียงแคน เสียงซอหรือพิณ ที่ทำจากกระลาบ้าง กระป๋องบ้าง และถึงแม้เพลงหมอลำกลอนนั้นเราจะไม่คุ้นไม่ค่อยเข้าใจ   แต่ภาพและเสียงนั้นก็ยังจำติดหูติดตา

              ยังจำความงี่เหง้าหนึ่งของเราได้ในหว่างนั้น   ช่างเขียน เคยถามผู้ใหญ่ด้วยความไม่ประสาว่า " ทำไมเราต้องให้เงินเขาด้วย พวกนี้ไม่มีงานการทำหรือไงจึงต้องออกมาขอทาน "  
           ซึ่งผู้ใหญ่ก็ตอบว่า  คนไทยบ้านนอก ( สรรพนามที่คนในเมืองนิยมเรียกคนชนบทในสมัยนั้น อารมณ์ก็คล้ายกับที่คนไทยเรียกคนชาติผิวขาวว่า ฝรั่ง ) พวกนี้ถึงไม่มีอะไรเท่าเรา  เขาก็อยู่ของเขาได้ แต่เขาไม่ได้ยากจน  เพียงแต่ทำมาหากินลำบาก เพราะหน้าแล้งกันดารน้ำมากจะปลูกผักพืชอะไรก็ไม่ได้   และเขาก็ทำแค่ช่วงที่เดือดร้อนไม่ได้จะยึดเป็นอาชีพ
              แล้วท่านก็พูดถึงความเป็นชาวพุทธ  ที่ถูกสอนให้ทำความดีกับคน  มีเมตตาจิตต่อผู้ทุกข์ยาก ก็เปรียบได้ว่า การออกมาขอทานของเขา  ก็เหมือนจะมาแผ่บุญให้เราได้มีโอกาศทำ  
             นอกจากนี้ ท่านยังให้ความรู้อีกว่า   วณิพก นั้นไม่ใช่ ขอทาน เพราะเขาไม่ได้มาแบมือขอ แต่เขาขอด้วยเสียงเพลงเสียงดนตรีที่เป็นศิลปะเฉพาะตัวที่ใช่ว่าใครๆก็ทำได้  ดังนั้นเราควรมีน้ำใจ  แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พบคนปรกติ แต่อยู่ดีๆก็มาแบมือขอเงิน  แบบนี้ก็ไม่น่าให้

"  โลกมนุษย์อันใหญ่โตมโหฬารใบนี้  ไม่น่าเชื่อว่า  
    จะมีคนอยู่เพียงแค่ 2 คน คือ คนมี และ คนไม่มี  เท่านั้นเองครับ "

    สวัสดี


อยากไปเร็ว ก็ให้รีบไป    อยากไปไกล ให้รอไปด้วยกัน
จับตา  สามยาม