ความต่อจากตอนที่แล้ว หลังเสร็จภาระกิจในวันเสาว์ไปเมื่อวาน ในวันอาทิตย์นี้ก็ตั้งใจว่าจะไปเดินสวนจตุจักรซักวันก่อนกลับนครพนม จึงโทร.ไปทักทายเพื่อนๆในกทม.เท่าที่จะนึกออก พร้อมกับแจ้งข่าวว่า ตอนนี้อยู่กรุงเทพนะโว๊ย แต่ขณะที่กำลังจะออกไปจากโรงแรม ก็ได้รับเสียงกริ๊งจาก ไอ้โพธิ์ เพื่อนเก่าสมัยมอปลายที่ไม่ได้เจอกันนานมาก
โพธิ์ " เฮ๊ย ใหญ่ กูเพิ่งรู้จากไอ้น้อยมันว่าตอนนี้มึงอยู่กรุงเทพ เฮ้ย เราไม่ได้เจอกันซะนาน ยังไงๆวันนี้มึงต้องมากินข้าวกับกูให้ได้นะอยากคุยด้วย เพราะวันนี้กำลังฉลองย้ายเข้าบ้านใหม่พอดี ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหนล่ะ อ๋อ อยู่ที่โรงแรมแถวรัชดาฯเหรอ เออ ไม่ไกล งั้นเดี๋ยวกูจะให้ลูกสาวไปรับ โอ.เค นะโว๊ย "
โพธิ์ หรือ ชื่อจริงว่า ประสิทธิ์ เพิ่งเกษียณงานบัญชีที่ทำกับบริษัทเอกชนญี่ปุ่นระดับบิ๊ก ส่วน เง็ก ภรรยาคู่ใจก็เปิดร้านจัดดอกไม้เล็กๆที่สวนจตุจักร ทั้งคู่มีลูกสาว 2 คนเป็นฝาแฝด ต๊อก - แต๊ก ซึ่งเรียนจบโททั้งคู่ ต๊อกทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นเหมือนพ่อ ส่วนแต๊กสอนหนังสือที่ราชภัฏฯ โพธิ์ และ เง็ก เคยหลงผิดไปซื้อบ้านใกล้สนามบินสุวรรณภูมิก่อนจะขายทิ้งแล้วมาซื้อบ้านใหม่ที่รามอินทราในวันนี้
โพธิ์ มีประวัติการต่อสู้ชีวิตที่น่าสนใจ ตอนเล็กๆทางบ้านที่สุพรรณบุรีก็มีฐานะไม่ค่อยดีนัก เมื่อจบชั้นประถมที่สุพรรณฯจึงขอตามญาติที่บวชเป็นพระอยู่ที่วัดโพธิ์ท่าเตียนเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพ แล้วทำงานทุกอย่างที่ได้เงินส่งเสียตัวเองจนกระทั่งจบบัญชีธรรมศาสตร์ ดังนั้นชื่อ " โพธิ์ " ที่เพื่อนๆในโรงเรียนเรียก จึงได้มาเพราะอยู่ที่วัดโพธิ์นี่เอง
โพธิ์ มีประวัติการต่อสู้ชีวิตที่น่าสนใจ ตอนเล็กๆทางบ้านที่สุพรรณบุรีก็มีฐานะไม่ค่อยดีนัก เมื่อจบชั้นประถมที่สุพรรณฯจึงขอตามญาติที่บวชเป็นพระอยู่ที่วัดโพธิ์ท่าเตียนเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพ แล้วทำงานทุกอย่างที่ได้เงินส่งเสียตัวเองจนกระทั่งจบบัญชีธรรมศาสตร์ ดังนั้นชื่อ " โพธิ์ " ที่เพื่อนๆในโรงเรียนเรียก จึงได้มาเพราะอยู่ที่วัดโพธิ์นี่เอง
โพธิ์ ในวัยเรียนเป็นคนหน้าตาคมคายแบบไทยๆ แต่จะด้วยความเจียมฐานะหรือไรจึงทำให้โพธิ์ดูเงียบไม่ค่อยสดใสสมวัย บ่อยครั้งก็เหม่อลอยไม่พูดจา บางครั้งก็เฮฮาไปตามเพื่อน เหตุที่ ช่างเขียน คุ้นเคยกับโพธิ์มากกว่าเพื่อนคนอื่น ก็เพราะเราเป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกันจึงชอบนั่งติดกันอยู่หลังห้องเรียนแต่โพธิ์ชอบนั่งโต๊ะมุม นับแต่เปิดเทอมแรกมาครึ่งปีเราต่างก็ไม่เคยสนใจอะไรกัน แต่ที่ต้องได้รู้จัก โพธิ์ มากขึ้น ก็ในเช้าวันนึงเมื่อ นุ้ย เด็กตราดฉายา " ไอ้นุ้ยจอมแฉ " มากระซิบให้ฟังว่า " มึงนั่งอยู่ข้างหน้ามัน ไม่เคยสังเกตุหรือว่า ไอ้โพธิ์มันชอบโชว์อะไร ลองเหลียวไปดูซักกะหน่อยสิ " ด้วยความอยากรู้ว่ามันชอบทำอะไร ก็เลยแอบชำเลืองดูมันตลอดเวลา แต่ละชั่วโมงเรียนผ่านไปก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งถึงชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งสอนโดยอาจารย์สาวสวยที่เพิ่งจบใหม่ๆ ทันใดที่ได้ยินเสียงกุกๆกักๆอยู่ข้างหลังก็หันควับไปดู ก็เลยจ๊ะอุ๋ย กับฉากไอ้โพธิ์กำลังทำร้ายตัวเอง โอ้โฮ บะเหิ้มแบบนี้มันก็น่าโชว์อยู่หรอก ตอนหลังเมื่อสนิทกันมากขึ้น โพธิ์ ก็สารภาพให้ฟังว่ามันเป็นคนรู้สึกไวและเก็บอารมณ์ทางเพศไม่อยู่
ยังจำวันที่ โพธิ์ ชวน ช่างเขียน มากินชาต้มขนมปังสังขยา ที่ท่าเตียนครั้งแรกในชีวิตได้ วันนั้น โพธิ์ บอกว่าวันนี้เป็นวันที่ต้องบันทึกในประวัติศาสตร์ เพราะรถรางจะวิ่งเป็นวันสุดท้ายในกรุงเทพ เราก็อยากมีส่วนร่วมด้วยจึงชวนกันโดดเรียนครึ่งวันเพื่อมานั่งรถรางเที่ยวสุดท้ายนี้ด้วย แล้วก็โดดขึ้นรถเมล์จากพญาไทไปลงที่เจริญกรุง แล้วขึ้นรถรางขบวนประวัติศาสตร์ไปลงที่ท่าเตียน
เมื่อมาถึงตลาดท่าเตียน โพธิ์ ก็พาไปนั่งที่ร้านชาต้มที่ขึ้นชื่อที่สุดในตลาดฯ ครั้งแรกที่ลองจิบชาต้มก็รู้สึกคล้ายๆชาเย็นทั่วไปแต่รสชาติหอมหวานและอร่อยกว่ามากราคาสมัยนั้นแก้วละบาท ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าร้านนี้ยังเปิดขายอยู่รึเปล่า และก็เรื่อง ชาต้ม นี้แหละที่ โพธิ์ เล่าให้ฟังว่า เป็นตำนานรักแรกรักแท้และสุดท้ายของมัน
เรื่องก็มีอยู่ว่า ในเช้าวันหนึ่ง โพธิ์ ไปรอแจกันดอกไม้ที่ทางวัดสั่งให้ร้านเจ้าประจำจัดให้ แต่วันนั้นมีเหตุให้ต้องรอนานกว่าทุกครั้งเพราะรถส่งดอกไม้ยังไม่เข้าตลาด จนโพธิ์แสดงอาการหงุดหงิดออกมา ในตอนนั้น เง็ก สาวสวยหมวยเปรี้ยวลูกสาวร้านดอกไม้ก็คงจะรำคาญตากับท่าทางงุ่นง่านของโพธิ์ไม่ได้ จึงหลุดปากออกมาว่า " อีก 10 นาทีถ้ารถส่งดอกไม้ยังไม่มา ชั้นยอมให้ปรับ " และวันนั้นกว่ารถจะเข้าตลาดก็สายมาก ซึ่ง เง็ก ก็ใจดีสู้เสือเธอถามโพธิ์ ว่า " แล้วเธอจะเอาค่าปรับชั้นเท่าไร " โพธิ์ หนุ่มน้อยตจว.ที่เพิ่งจะมาอยู่กรุงก็บอกว่า " กำลังหิวน้ำพอดี เลี้ยงชาต้มแก้วนึงสิ " จากชาต้มแก้วแรกในชีวิตวันนั้น ก็สานสัมพันธุ์รักหมวยสาวกับหนุ่มไทยให้ยืนยาวจนกลายมาเป็นคู่ชีวิตจริงในวันนี้
คุยกับ โพธิ์ เสร็จ ก็ออกมานั่งรอรถที่หน้าโรงแรม สักพักใหญ่ก็มีรถเก๋งสีขาวใหม่เอี่ยมขับเข้ามาจอดที่หน้าโรงแรมโดยไม่ได้ดับเครื่อง แล้วก็เห็นหนุ่มสาวคู่นึงลงจากรถแล้วเดินตรงเข้ามาไหว้
ต๊อก - สวัสดีค่า คุณลุงใหญ่ ใช่มั๊ยคะ หนูชื่อ ต๊อก ลูกพ่อประสิทธิ์ค่า นี่ ทาโน่ แฟนหนูนะคะ เค้าเป็นคนญี่ปุ่นทำงานเป็นวิศวกรที่โรงงานเดียวกันกับที่หนูทำอยู่ เค้าพูดไทยได้คะ เชิญคุณลุงขึ้นรถเลยนะคะ พ่อเขากำลังรอทานข้าวกับคุณลุงอยู่
ช่างเขียน - หวัดดีลูก เอ้างั้นไปเลยออกรถได้ อะไรนี่เรา เผลอแพ่บเดียวจบโทแล้ว คิดว่าลุงเคยเห็นหนูครั้งสุดท้ายก็ตอนเรียนประถมล่ะมั้ง นี่เราแฝดพี่ รึ น้อง
ต็อก - หนูแฝดพี่ค่ะ แต๊ก เป็นน้อง
ช่างเขียน - แล้วคุณทาโน่ มาทำงานที่เมืองไทยได้ยังไงครับ
ทาโน่ - ผมเรียนจบเมื่อ 6 ปีก่อน แล้วเริ่มทำงานกับบริษัทใหญ่ที่ญี่ปุ่นก่อนครับ ทำได้ 2 ปีบริษัทก็ส่งมาทำงานต่อที่เมืองไทยเพราะผมสนใจและมีความรู้เรื่องเมืองไทยดี
ช่างเขียน - ชอบและประทับใจเมืองไทย เรื่องใดบ้างครับ
ทาโน่ - ผมเคยมาเมืองไทยตอนเล็กๆกับพ่อแม่ครับ คิดว่าเมืองไทยสวยงามและมีความหลากหลายมาก ผมชอบความเป็นมิตรของคนไทย อาหารไทย และผู้หญิงไทยครับ
ช่างเขียน - แล้วคุณทาโน่ เขามารู้จักชอบพอกับแต๊กได้ยังไงล่ะ แล้วมีแผนจะแต่งงานกันมั๊ย
ต๊อก - หนูทำงานอยู่ฝ่ายจัดการก็เลยเจอทาโน่ ที่โรงอาหารสำหรับเจ้าหน้าที่บ่อยๆ จนวันนึงเค้าขอให้หนูช่วยสอนภาษาไทยให้ จากนั้นเราก็คบกันมาเรื่อยๆ การแต่งก็คงรออีกซักพักคะ
ทาโน่ - ผมก็อยากแต่งเร็วๆ แต่ต๊อกเขาว่ายังไม่พร้อมครับ
ช่างเขียน - ที่โรงงานของคุณพอใจการทำงานของช่างคนไทยแค่ไหน หรือ เคยมีปัญหาการทำงานของพนักงานคนไทยอย่างไรบ้างครับ
ทาโน่ - ผมเคยฟังเพื่อนๆและผู้ใหญ่ในบริษัทเล่าให้ฟังว่า ฝีมือช่างเทคนิคคนไทยที่ผ่านการฝึกอบรมของบริษัทแล้ว เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียนคนไทยมีทักษะดีกว่ามากครับ ความตั้งใจในการทำงานก็ดี แต่มีปัญหาเดียวคือ เรายังขาดแรงงานระดับนี้อยู่มาก เราต้องเสียเวลาฝึกอบรมคนงานใหม่หลายเดือนก่อนจะทำงานได้ซึ่งมันสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก ผมเคยอ่านบันทึกเก่าๆของบริษัทที่มีไปถึงรัฐบาลไทยให้ช่วยปรับปรุงหลักสูตรการเรียนอาชีวะศึกษาให้สอดคล้องกับระบบอุตสาหกรรมของเราด้วย แต่ในวันนี้ผมก็ยังไม่ทราบเลยว่า เรื่องนี้ได้รับการตอบสนองหรือไม่
ต๊อก - หนูเคยดูผลการสมัครงานและการคัดคนรับเข้าทำงานของบริษัทเราในแต่ละปีแล้ว ก็น่าตกใจนะคะ คือ บางปีสมัคร 100 คน ผ่านแค่ 4 คน คล้ายกับว่า คุณภาพอาชีวะของเรายังใช้ไม่ได้เลย
ช่างเขียน - ก็น่าจะรวมถึง คุณภาพสมองของนักการเมืองไทยด้วยนะ เพราะการพัฒนาบ้านเมืองในทุกๆเรื่องต้องมีนักการเมืองเกี่ยวข้องด้วย ถ้าเรื่องใดเขาเล่นด้วยเรื่องก็ผ่าน แต่ถ้าเขาไม่ชอบก็จบ ลุงรู้สึกว่า พวกนักการเมืองเขาไม่ค่อยสนใจการเรียนอาชีวะเท่าไหร่ แต่ชอบมาหาคะแนนเอาใจชาวบ้านด้วยการมุ่งเปิดมหาลัยให้ครบทุกจังหวัดโดยไม่เน้นคุณภาพนี่มันผิดมากๆ เพราะความสำคัญของการเปิดมหาลัยมันอยู่ที่คนสอนต้องมีปริญญาเอกมากๆ มีสาขาวิชาทั้งวิทย์และศิลป์ให้เลือกครบถ้วน ไม่ใช่เรื่องการมีตึกสวยงามใหญ่โต นี่อะไร สาขาวิชาที่เปิดสอนส่วนใหญ่ก็เป็นแนวศิลปศาสตร์ที่เรียนง่ายจบง่ายจนเฟ้อล้นตลาด เหมือนดูถูกคนต่างจังหวัดว่าโง่ ลุงกล้าพูดได้ว่า " คนที่เรียนวันนี้ก็เตรียมตัวตกงานในวันหน้าได้เลย " พักหลังๆนี้ พวกนักวิชาการทั้งของรัฐและเอกชนเขาก็ออกมาโวยอยู่เสมอๆว่า ทำไมรัฐผลิตแต่บัณฑิตขยะ มันไม่ได้ตรงกับความต้องการของเอกชนเขาเลยจ้างไปก็ไม่คุ้มเงิน นอกจากจะไปแย่งกันสมัครทำงานกับราชการ เรื่องนี้คุณทาโน่เข้าใจใหมครับ
ทาโน่ - เข้าใจครับ เรื่องนี้ก็คล้ายกับที่อินเดียเมื่อ 20 ปีก่อน ที่รัฐมุ่งแต่จะให้ประชาชนได้ปริญญากันถ้วนหน้า แต่ความจริงจบปริญญาตรีแล้วต้องมาเดินขายถั่ว รู้สึกว่าในเวลานั้น อินเดียมีบัณฑิตตกงานเป็นล้าน ในเมื่อเขามีบทเรียนจากนโยบายที่ผิดพลาดนี้แล้ว เขาก็กลับตัวทัน เปลี่ยนแนวทางหันมามุ่งการผลิตคนให้มีคุณภาพตรงกับความต้องการแรงงานในตลาด จะเห็นว่าคนจบสาขาคอมพิวเตอร์ของอินเดียนี่ เป็นที่ต้องการของทั่วโลกแม้กระทั่งญี่ปุ่นเอง เรียกได้ว่าผลิตเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ ต้องจองตัวกันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเลย เรื่องนี้ทำให้อินเดียมีศักยภาพในการพัฒนาประเทศอีกหลายเท่าตัว และมีขนาดของเศรษฐกิจผงาดในระดับโลก
ต๊อก - เอ้า ถึงบ้านใหม่แล้วคะ นั่นไงพ่อแม่กับแต๊กเขามายืนรอคุณลุงอยู่ที่หน้าบ้าน งานวันนี้ไม่มีพิธีอะไรนะคะ เพียงแค่นิมนต์พระมาเจิมพรมน้ำมนต์แต่เช้าก็จบแลัว ตอนนี้ก็เหลือแต่พวกเราไม่กี่คนกินกันเอง ไม่มีแขกคะ
เมื่อรถจอดสนิทก็ลงไปจับมือทักทายกับ โพธิ์ และรับไหว้ เง๊ก กับ แต๊ก แล้วพากันเข้าไปในบ้าน ซึ่งตั้งโต๊ะอาหารใหญ่โต๊ะเดียวมีหนุ่มสาวเพื่อนของแต๊กนั่งรออยู่ 4 - 5 คน
โพธิ์ - เอ้านั่ง วันนี้นอกจากมึงแล้วก็ไม่มีแขกอื่นนะ นี่มีแต่เพื่อนๆของ แต๊ก ที่มหาลัย
แต๊ก - พวกเราสวัสดีคุณลุงใหญ่ เพื่อนพ่อชั้น
ช่างเขียน - เอ้า สวัสดีครับหลานๆ โอ้โฮ บ้านสวยน่าอยู่นะโพธิ์ นี่อาหารก็เพียบเลย เง็ก ทำเองทั้งหมดรึเปล่านี่
เง็ก - เปล่าคะ ทำเองเฉพาะพวกยำพวกแกงพวกผ้ดค่ะพี่ ส่วนพวกเป็ดย่าง ไก่อบ กระเพาะปลานี่ซื้อจากข้างนอก พี่ใหญ่ คงสบายดีนะคะ หน้าตาไม่เปลี่ยนเลย
ช่างเขียน - ไอ้โพธิ์ ก็ไม่เปลี่ยน นอกจากผมหงอกมากขึ้น
เง็ก - พี่ใหญ่ จะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ วิสกี้เหมือนพี่สิทธิ์ หรือ เบียร์
ช่างเขียน - เอาเบียร์ดีกว่า แต่ไม่ต้องใส่น้ำแข็งนะ
โพธิ์ - เง็ก งั้นพี่ก็เอาเบียร์เหมือนใหญ่เขา จะได้กินเป็นเพื่อนกัน เกือบ 15 ปีได้มั๊งที่ไม่ได้เจอกันเพราะเราก็ยุ่งกับงานการจนลืมเพื่อนฝูงไป
ช่างเขียน - ก็ประมาณนั้นล่ะนะ เออ ที่ย้ายมาอยู่นี่เพราะทนเสียงเครื่องบินไม่ได้ใช่มั๊ย
เง็ก - เสียงเครื่องบินก็ส่วนหนึ่งคะ แต่ที่ทนไม่ไหวก็คือ เสียงบ้านมันสั่น ทั้งโต๊ะตู้ประตูหน้าต่างกรอบรูปของใช้สั่นหมด ต้องเปลี่ยนกระจกแตก กระเบื้องแตกอยู่บ่อยๆ
โพธิ์ - ฉันบอกเธอแต่แรกแล้วว่าอย่ามาอยู่ใกล้สนามบินเลย เธอก็ไม่ฟังฉัน คิดแต่ว่าเป็นการลงทุนบนแผ่นดินทอง เป็นที่ดินที่มีอนาคต ราคาจะปรับสูงขึ้นทุกปีๆ ทีนี้แล้วไง เรื่องนี้พูดไปแล้ว ก็ไม่ค่อยเห็นใจพวกที่ไปซื้อบ้านอยู่ใกล้สุวรรณภูมิสักเท่าไหร่ คิดดูว่ามันจะนอนตาหลับได้ยังไงเมื่อมีเครื่องบินข้ามหัววันละ 2 - 300 ครั้งนี่ฮึ อยากจะสมน้ำหน้าซะด้วยซ้ำไป
เง็ก - ชั้นก็เห็นคนที่ดอนเมืองเขายังอยู่กันได้ ก็เลยคิดว่าเราก็น่าจะอยู่ได้
โพธิ์ - โถ คนดอนเมืองเขาอยู่มานานจนชินแล้ว เราจะไปเอาอย่างเขาได้ไง นี่ยังโชคดีนะ ที่หลวงเขาช่วยรับซื้อบ้านคืนให้ ไม่งั้นไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอก
ช่างเขียน - แล้วพวกที่ออกมาโวยว่า ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลนี่ มันเป็นยังไง
โพธิ์ - เขาอาจจะมาทีหลังก็ได้ ไม่รู้นะ แต่เรื่องของเราที่มันจบก่อนเขา อาจจะเป็นเพราะมีหลักฐานว่าเราซื้อที่ดินและมาสร้างบ้านอยู่ก่อนที่จะสร้างสนามบินตั้งหลายปี นี่แหละน้า ความรักเมียมากตามใจทุกอย่างจนเขาได้ใจเป็นใหญ่คนเดียวในบ้าน ตัดสินใจคนเดียวไม่ฟังเสียงใครเลย
ช่างเขียน - มึงอยากจะว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย ยังงั้นใช่มั๊ย
โพธิ์ - เออว่ะ มาตาธิปไตย มีคาถาบูชาเมีย แทนรัฐธรรมนูญ
เง็ก - เอาล่ะ จบๆๆ ชั้นตัดสินใจผิด ก็ยอมรับผิดแต่ผู้เดียว และต่อไปจะทำอะไร ชั้นต้องปรึกษาคนในบ้านก่อนทุกครั้ง ยังงี้ถูกใจมั๊ยผัวจ๋า
ช่างเขียน - เออ ไอ้ผัวเมียคู่นี้มันน่ารักดีเว๊ย ถ้าบ้านเมืองของเรามีบรรยากาศแบบนี้มั่งก็จะดีไม่น้อย
ช่างเขียน - กูว่า สีม่อฮ่อม ว่ะ จุดธูปปั๊บ ก็ยกทัพหอบเสื่อหอบหมอนมาวันนั้นเลย ไอ้พวกที่ชอบเล่นแรงๆนี่ มันก็งั้นๆ พอเดาใจเดาสันดานได้ว่าอะไรกำลังจะเกิด แต่ไอ้พวกมาเงียบๆหน้าตายๆไม่แสดงสีหน้าอารมณ์นี่สิเดาใจไม่ถูก มันน่ากลัวกว่ากันเยอะ
แต๊ก - เหมือนกองทัพปีศาจที่ผลุดลอยขึ้นมาจากพิภพ อย่างกับหนัง " เดอะ ตัม เรดเด้อร์ " ของแองเจลิน่า โจลี่ เลยคะคุณลุง
ช่างเขียน - แหมเข้าใจเปรียบเทียบ เออ ลุงมาตั้งนานยังไม่ได้ทักทายพวกหลานๆเลย มัวแต่คุยกับคนแก่เพลินไปหน่อย ลืมถาม แต๊ก ว่าหนูสอนหนังสือที่ไหนลูก
แต๊ก - หนูสอนที่ราชภัฏ....... คะ
แต๊ก - โอ๊ย วงการพวกราชภัฏฯ เขารู้เรื่องนี้ดีทุกอย่างคะ เขาก็ติดตามและวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่บ่อยๆ ที่ยังค้างคาใจพวกเขาก็มีอยู่ 3 เรื่องมั้ง คือ กฏหมายเท่ากัน แล้วพรบ.ม.ราชภัฏนครพนมหายไปได้อย่างไร เรื่องการออกพรบ.ม.นครพนมโดยนักการเมืองในพรรคของทักษิน แต่ทำไมถึงกล้าขัดมติของครม.รัฐบาลทักษินไปทุกข้อ แล้วสุดท้ายก็เรื่องชื่อของมหาลัย
ช่างเขียน - คล้ายๆว่า " อะไรที่เดินบนความไม่ถูกต้อง ก็มักจะไปได้ไม่กี่น้ำ " ใช่มั๊ย เออ เก่งจริงนะพวกเรา นึกว่าจะไม่มีใครสนใจพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว เออ เมื่อเด็กฟังคนแก่คุยกันมานานแล้ว ก็ถึงคราวให้คนแก่ได้ฟังเด็กๆเขาได้พูดคุยเรื่องราวของเขามั่งเปลี่ยนบรรยากาศ โอ.เค นะ เง๊ก โพธิ์ เอ้า ชนแก้วหน่อย
สวัสดีครับ
อยากไปเร็ว ก็ให้รีบไป อยากไปไกล ให้รอไปด้วยกัน
จับตา สามยาม
27 มค. 2554