ขอให้ชาวนครพนม คัดค้านการนำเอาพระธาตุพนม ไปประดับบนยอดหลังคาอาคารด่านศุลกากรนครพนม ที่สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 จังหวัดนครพนม

5 เม.ย. 2554

" คฺยหฐา หิ อตฺตโน นาโถ " ของๆตน ย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน




        พูดถึงปีใหม่ปีนี้ ออกจะเสียความรู้สึกไปนิด  ในเรื่องที่ว่าไม่ได้รับ สคส. จากญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงเลยแม้แต่ใบเดียว  แต่ความบูดในอารมณ์นั้นก็หมดไป  เมื่อเปิดอินเตอร์เนทดูก็จะเห็นคำอวยพรจากพี่น้องผองเพื่อนโผล่ไปที่เฟซบุคและอีเมลย์แทน  แสดงว่าการมีคอมพิวเตอร์ซักเครื่องเพื่อจะใช้ชีวิตร่วมสมัยกับผู้คนในยุคนี้ เป็นเรื่องที่จำเป็นมาก เพราะนอกจากจะได้รับรู้ข่าวสารทุกมุมโลกที่รวดเร็วแล้ว  การติดต่อกับผู้อื่นก็สะดวกสบายและที่สำคัญคือประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายด้วย เออ จะว่าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ชักจะนึกภาพการไปซื้อซองจดหมายติดแสตมป์เพื่อส่งข่าวไปหาเพื่อนฝูงไม่ออกเลย  พอๆกับการไปซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่าน    


             แต่ก็ยังดีอยู่หน่อย ที่แม้จะไม่ได้บัตร สคส.จากคนไทยซักใบ ก็ได้ของขวัญปีใหม่จากเพื่อนฝรั่งเป็นพ็อคเกทบุคเล่มนึงมาอ่านแทน  เป็นนิยายแนวสืบสวน  คนเขียนเก่งมากเป็นหนุ่มชาวยิวอเมริกัน เขามีฝีมือการเขียนเรื่องลึกลับแต่ทิ้งปมเป็นจุดๆให้ชวนสืบหาคนร้าย  เขาพูดถึงที่มาของการเขียนนิยายเรื่องนี้ในอัตถประวัติของตัวเองว่า   จากที่ได้ค้นคว้าวิจัยพฤติกรรมของนักโทษผู้ต้องขังมานับสิบปี ก็พบว่า  กลุ่มคนที่กระทำความผิดซ้ำซาก มักจะไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด   และการรับโทษในคุก ก็จะไม่ช่วยให้สำนึกหรือคิดจะกลับตัว  เหมือนกับว่าชีวิตถูกกำหนดมาแล้ว ( โดนสาป ) และคนพวกนี้มักมีนิสัยที่คล้ายๆกันเป็นส่วนใหญ่ ที่ไม่มีวันแก้หายอยู่ 2 อย่าง ( สันดาน ) คือ ปากวัยมือวัย ( ทำก่อนสมองสั่ง )  ชอบโกหก ชอบแก้ตัว และชอบหยิบฉวยสิ่งที่ไม่ใช่ของตนไม่ว่าจะมีค่าเท่าใด  เขาจึงนำผลการค้นคว้านี้มาพล็อทเป็นเรื่อง  ความจริง ช่างเขียน ก็ยังอ่านไม่จบดีหรอก แต่ก็ต้องวางหนังสือเอาไว้ก่อน  เพื่อลงไปทำภารกิจด่วนที่กรุงเทพ  


  ก็เป็นปรกติเมื่อเสร็จธุระปะปังแล้ว  ก็จะเหลือเวลาให้ตัวเองไปเปิดหูเปิดตาซักวัน และ ช่างเขียน ก็เป็นแบบคนต่างจังหวัด ( พวกบ้านนอก ) ที่ชอบทำ 2 สิ่งเสมอเมื่อเข้ากรุงเทพ ก็คือ   ไปทานอาหารฝรั่งดีๆ ( รึเปล่า ไม่ทราบ ) จำพวกเบอเกอร์และพิซซ่า  และ การตระเวนไปเที่ยวห้างดังๆ เพื่อชมดูสินค้าใหม่ๆทันสมัย แบบไม่เสียตังค์เพราะจะไม่ซื้ออะไรเลย  และการไปเยี่ยมญาติสนิท เอ๊ย การไปหาซื้อสินค้าพวกไอที ออกใหม่ ( คุณภาพผีไม่รับประกัน ) สำคัญแต่ราคาต้องถูกอย่างเดียว ที่ห้างพันทิพ ประตูน้ำ    


ออกจากสะพานควายแต่เช้า ก็ขึ้นรถไฟฟ้ามาลงที่ สนามกีฬา แล้วเดินมาที่ มาบุญครอง 
ดูร้านค้าที่ มาบุญครอง จนหนำใจแล้วก็เดินต่อไปที่ สยามดิสคัฟเวอรี่




ลานศิลปะ หน้าหอศิลปของ กทม.


มุมนี้ สวย


ทางเดินลอยฟ้า " สกาย วอล์ค "



สยามดิสคัฟเวอรี่  ตรงสี่แยกปทุมวัน



ทางเข้า สยามดิสคัฟเวอรี่ จากทางเดินลอยฟ้า ( สกาย วอล์ค )


ภายใน สยามดิสคัฟเวอรี่





ลอฟท์ ของสวยทุกอย่าง  แต่แตะไม่ได้ ก็มันแพง นะซิ




ที่สยามดิสคัฟเวอรี่  มีคนเดินน้อยมาก ไม่รู้ว่า เจ้าของจะมีกำไรใหมหนอ ?


ด้านนอก สยามดิสคัฟเวอรี่ วันนี้อากาศร้อนมาก




ส่วนเชื่อมต่อระหว่าง สยามดิสคัฟเวอรี่ กับ สยามเซ็นเตอร์


สยามเซ็นเตอร์



ภายใน สยามเซ็นเตอร์


ส่วนเชื่่อมจาก สยามเซ็นเตอร์ ไป สยามพารากอน


แวะกิน กาแฟสตาร์บัค ที่สยามพารากอน ซักถ้วยนึงก่อนจะเดินไปวินโดว์ ช็อปปิ้งต่อ


ศูนย์อาหารชั้นล่างของ สยามพารากอน


แล้วมาทาน เบคอนดับเบิ้ลชิสเบอเกอร์ ของโปรด ที่ เบอเกอร์คิง
เบอเกอร์เนื้อ ที่อร่อยที่สุด


สั่ง ดับเบิ้ลชิสเบอเกอร์ " ทูโก " ของ แมค' ใส่ถุงไปกินระหว่างการเดินช็อปปิ้งด้วย



ด้านหน้า สยามพารากอน  


ด้านข้าง สยามพารากอน



มองเห็น โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แต่ไกล



มีทางเดินลอยฟ้า " สกาย วอล์ค " เชื่อมศูนย์การค้าใหญ๋แถบนี้


ทางเดิน " สกาย วอล์ค " ไป เซ็นทรัล เวิลด์




ทางเข้า เซ็นทรัลเวิลด์



มาถึง เซ็นทรัลเวิลด์ ก็เที่ยงพอดี 



โถงทางเข้า ศูนย์การค้า " เซ็นทรัลเวิลด์ "



เซ็นทรัลเวิลด์ วันนี้ถือเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ๋ติดอันดับโลก





วันนี้มีบูทเกี่ยวกับฟุตบอล พรีเมียร์ลีก มาแสดงด้วย



มาอีกด้านเป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ สินค้าแฟชั่นประเภทเครื่องหนัง


มาเจอการซ้อมเดินแบบของบรรดานางแบบ นายแบบ ในบูทเครื่องหนังนี้พอดี


ก็เลยถ่ายคลิป นายแบบ มาฝากชาวนครพนมดูเล่นๆ




        ตอนที่เดินมาถึงโถงบันใดของห้าง  รู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมองอยู่ แล้วก็เห็นผู้ชาย 2 คน เดินรี่เข้ามาหา ช่างเขียน  คนนึงเป็นหนุ่มผิวขาวคิ้วหนาตาคมแต่งตัวเนี๊ยบ อีกคนเป็นฝรั่งวัยกลางคนท่าทางดี   แล้วหนุ่มคนนั้นก็ยกมือไหว้  พร้อมทักว่า  " พี่ใหญ่  จำผมได้ใหมครับ  ผม โต้น  เคยทำงานกับพี่เมื่อ 10 กว่าปีก่อนไง  นี่ บ๊อบ เพื่อนผม เขาเคยเป็นตำรวจที่อเมริกาครับ " เออ จู่ๆมีคนหน้าไม่คุ้นมาทักแบบนี้มันก็มึนไปเหมือนกัน  แล้วก็เหลือบดูคนทักให้ถนัดตาอีกที  จึงค่อยเห็นเค้าลางของ " บักโต้น " ลูกน้องเก่าในอดีตได้  อ้อ นึกออกแล้ว  ไอ้นี่มันชื่อ หำน้อย นี่ แต่เพื่อนๆที่ทำงานชอบเรียก หำโต้น  เพราะ โต้น ชอบใส่บ็อกเซ่อร์หรือกางเกงมวยที่ขาสั้นมากจนใข่แลบอวดเพื่อนๆเป็นประจำ   ถ้าจำไม่ผิด โต้น คงเป็นเด็กเรณูแต่อยู่บ้านไหนไม่แน่ใจ   เรียนไม่จบมอ 3 ก็ออกมาหางานทำ เป็นคนเงียบๆ  เคยทำงานด้วย 2-3 ปี แล้วก็ลาออกตามเพื่อนไปทำงานที่พัทยา ไม่เจอซะนาน ตอนนี้อายุก็คงจะใกล้ 30 ได้ล่ะมั๊ง
ช่างเขียน  - อ๋อ  บักโต้น เหรอ โอ้โฮ ดูดีโว๊ย ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม กลายเป็นคนกรุงเทพไปแล้ว หล่อขึ้นจนจำเกือบไม่ได้   แล้วตอนนี้ มึงทำงานอะไรอยู่ ท่าทางดูสบายดีนี่ 
โต้น  -  โอ๊ย ดีใจจังเลยที่ได้เจอพี่วันนี้ พี่ยังอยู่ที่นครพนมเหรอ ผมนึกว่าพี่ไปอยู่อเมริกานานแล้ว เลยไม่ได้แวะไปหา   เรื่องของผมมันยาว พี่  เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง  ป๊ะๆ เราอย่ายืนให้เมื่อยเลยไปหาร้านนั่งคุยกันดีกว่า  วันนี้ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงพี่เอง 
ช่างเขียน  -  ดีเหมือนกันกำลังหิวกาแฟพอดี อือหือ เครื่องประดับเพียบเลย เว๊ย ท่าทางล่ำซำนี่หว่า  เออ นั่งที่ร้านนี้ก็ได้คนไม่ค่อยมี  แล้วเรื่องภาษานี่พูดกันรู้เรื่องใหม  
โต้น  -  ผมก็พูดแบบมั่วงูๆปลาๆ  ส่วน บ๊อบ เขาก็พูดไทยได้พอเข้าใจ เพราะมาเมืองไทยเกือบ 10 ปีแล้ว  แต่ผมว่าพี่พูดอังกฤษกับเขาไปเลย
ช่างเขียน  - บ๊อบ  เราจะใช้ภาษาอะไรดี
บ๊อบ  - ผมว่าภาษาไทยดีกว่าครับ แต่ต้องพูดช้าๆ  ผมจะได้ฝึกพูดไทยด้วย


โต้น  -  พี่รับกาแฟ ใช่มั๊ย รึจะสั่งอาหาร ตามสบายนะครับ  ผมกับบ๊อบ จะสั่งเบียร์ รึ พี่จะรับเบียร์ด้วยกัน
ช่างเขียน  - อาหารคงไม่รับ เพราะเพิ่งกินแฮมเบอร์เก้อมา  เอากาแฟ กับ น้ำส้มคั้น ก่อนดีกว่า   เอ้า จะเล่าอะไรให้ฟังก็เล่าไป
โต้น  - เรื่อง ผม กะ บ๊อบ ถึงไม่เล่าพี่ก็คงเดาออกนะ ว่าเราเป็นมากกว่าเพื่อน  ผมจะเล่าตั้งแต่ช่วงที่ผมออกจากร้านพี่ไป  ตอนนั้นก็ตามเพื่อนไปทำงานที่ร้านลาบของญาติมันที่พัทยา ก็อยู่ทำงานเก็บเงินได้ซักปีก็ไปออกรถมอเตอร์ไซต์มือสองมาขับ   ก็ไม่คิดเลยว่าโมไซต์คันนี้จะทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปคนมือสองด้วย  วันนั้นจำได้ว่าเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2544  ผมไปเค๊าน์ดาวที่จอมเทียนกับไอ้ตุ๊ เพื่อนที่ร้านเป็นเด็กชลมาอยู่ก่อนผม 2 ปี  วันนั้นรถโมไซต์เยอะมาก ผมโดนรถอีกคันแซงเบียดจนรถผมไปเฉี่ยวรถเก๋งที่จอดริมทาง  รถก็ล้ม ตัวผมก็กลิ้งอยู่บนถนน พอลุกขึ้นมาได้ก็เข่าอ่อนเลย



 เพราะรถเก๋งที่ผมเฉี่ยว กันชนยุบตัวถังบุบดูแล้วค่าซ่อมคงเป็นหมื่น  ส่วนผมกับไอ้ตุ๊ไม่เป็นไรรถก็แค่ไฟหน้าแตกยังขี่ได้  ทำไงดีล่ะตอนนั้นก็เหลือเงินอยู่ 200 ที่กะจะกินให้ถึงเช้า  แล้วเจ้าของรถเป็นฝรั่งตัวใหญ่ 3 คนก็ออกมาดู เมื่อเห็นสภาพรถมีรอยบุบก็โวยวายเสียงดังใหญ่เลย ทำท่าเหมือนจะเรียกตำรวจมาแต่แล้วก็เงียบเสียงลง  มีฝรั่งคนหนึ่งพูดไทยได้ชี้มือไปร้านที่มันนั่งกินอยู่  บอกให้ไปนั่งตกลงเรื่องค่าเสียหายกัน  ผมกับไอ้ตุ๊ก็ใจแป๊ว ไปก็ไปว๊ะเป็นไงก็เป็นกัน  แต่พอไปนั่งในร้านมันกลับถามว่า จะดื่มเหล้าหรือเบียร์ ผมก็งง เอ๊ะ เมื่อกี้เหมือนกับมันอยากจะฆ่าเรา  ก็เลยบอกว่า อะไรก็ได้ นั่งดื่มกินไปซักพัก ก็สังเกตุว่าฝรั่งทั้งโต๊ะมองผมด้วยสายตาเยิ้มชอบกล  แล้วฝรั่งคนที่พูดไทยได้ชื่อ ปีเตอร์ ก็บอกว่า  จะไม่เอาเรื่องถ้าเรา 2 คนยอมไปเที่ยวกับพวกเขาดีๆ  เรื่องก็จะจบไม่ถึงตำรวจ  ตอนนั้นผมยังไม่ประสีประสาอะไรก็เลยหันไปถาม ไอ้ตุ๊ ผู้กร้านพัทยากว่า ว่า "  ตุ๊ มันจะเอาพวกเราไปทำไร ว๊ะ "   พอไอ้ตุ๊ กระซิบบอก ผมงี้เหงื่อแทบแตก  เลยบอกมันไปว่า " เฮ๊ย แบบนี้  กูก็บานล่ะสิ "  แต่คราวนี้ไอ้ตุ๊  กัดฟันมากระซิบข้างหู " มึงเลือกเอา  จะบานที่โรงแรม หรือ ไปบานที่คุก "  เท่านั้นล่ะ  ผมก็เต็มใจหันไปยิ้มพยักหน้าให้ฝรั่งหงึกนึง " โอ เค้ "  คืนนั้นไม่ได้นอนเลยพี่  ตื่นนอนมาก็ฟ้าเหลืองระบมไปทั้งตัว  ไม่รู้ว่าชีวิตรอดมาได้ไง แล้วพวกฝรั่งก็ยัดเงินใส่มือให้คนละพันก่อนจะปล่อยให้เรากลับบ้านไป จากนั้นมา ปีเตอร์ก็พาเพื่อนฝรั่งไม่ซ้ำหน้าแวะเวียนมารับเราไปเที่ยวข้างนอกบ่อยๆ  ตอนนั้นก็เลยมีเงินใช้ไม่ขาดมือ  พอรู้ว่าอะไรแบบนี้ทำเงินได้มากกว่าการเสริฟหลายเท่า ผมก็ลาออกจากร้านลาบไปทำงานที่บาร์ของเพื่อนปีเตอร์แถวพัทยาใต้ ทำได้ 3 ปีก็เจอกับ บ๊อบ ที่นั่น  เขาชอบเมืองไทยมากโดยเฉพาะพัทยา มาเที่ยวทุกปี เขาเล่าให้ฟังว่าเคยแต่งงานและหย่าแล้วเพราะแอบไปมีกิ๊กกับผู้ชายจนเมียจับได้  เมื่อ 6 ปีก่อนเขาเกิดอุบัติเหตุขาหักก็เลยลาออกจากงาน ใช้เงินมาเที่ยวเมืองไทยอย่างเดียว  เขามาติดผมได้ปีกว่าก็ชวนให้ออกจากบาร์มาอยู่ด้วยกัน  เขาบอกว่าจะเลี้ยงดูเองไม่ให้ลำบาก นี่ก็อยู่ด้วยกันเข้าปีที่ 4 ไปแล้ว เขาเช่าคอนโดให้อยู่ มีเงินให้ใช้รายเดือน ผมก็ใช้นิดหน่อยที่เหลือก็ฝากธนาคาร เมื่อเดือนก่อนเพิ่งจะพา บ๊อบ ไปหาพ่อแม่ เขาก็ช่วยต่อเติมบ้านให้ และซื้อรถโมไซต์ใหม่ให้พ่อใช้ ฝากเงินให้แม่ก้อนนึง พ่อแม่ดีใจมากเท่านี้ผมก็ว่า ชีวิตสุดยอดแล้วพี่  


ช่างเขียน  - เออ ความคิดดีนี่ ตอนนี้เก็บเงินได้กี่ล้านแล้ว
โต้น  -  โอ๊ย  เพิ่งเก็บได้ ไม่เท่าไหร่เอง พี่
ช่างเขียน  - โดนครั้งแรก เป็นยังไง
โต้น  -  ตอนนั้นก็มึนด้วย  ความไม่เคย ก็ฝืนๆ พอผ่านไปแล้วก็ดีขึ้น  เดี๋ยวนี้สบายมาก
ช่างเขียน  - ในเมื่อผ่านผู้ชายมาเยอะแล้ว  สรุปได้ใหมว่า ชอบบทไหน
โต้น  - ผมได้หมด ไม่เกี่ยง แล้วแต่เขาจะให้ทำอะไร  แต่พี่เชื่อใหมว่า  ผมผ่านแต่พวกฝรั่งนะ ส่วนคนไทยผมยังไม่เคยมีอะไรด้วยแม้แต่คนเดียว
ช่างเขียน  - แล้วอยากลองคนไทยมั๊ยล่ะ อย่าเลย ไม่มีนะดีแล้ว  ฝรั่งเขาถือเรื่องการนอกใจหรือการแอบมีกิ๊ก  แล้วบ๊อบ เขาชอบอะไรในตัวเรา  และเราชอบอะไรในตัว บ๊อบ 
โต้น  - คงเป็นว่า  ผมไม่เรื่องมาก  ส่วน บ๊อบ ผมชอบที่เขาให้เกียรติผมมาก  ทั้งๆที่รู้ว่า ผมก็เป็นเพียงเด็กขายธรรมดาๆ
ช่างเขียน  - แล้วที่อยู่ด้วยกันมา 4 ปีนี่  รู้สึกยังไงกับ บ๊อบ เขา
โต้น  -  ตอนแรก  ก็คิดว่า  จะทำเพื่อเงินซักปี  แต่อยู่ไปอยู่มา  ความดีของเขา ที่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยเราไม่ได้เรียกร้อง  จนเดี๋ยวนี้ผมรู้สึกผูกพันธ์กับเขามากขึ้น จะว่ารักเขาก็ได้
ช่างเขียน  - เคยมีความรู้สึก รัก ชอบผู้ชาย มาก่อนมั๊ย
โต้น  - คิดว่าสมัยอยู่มอต้น  เคยแอบชอบเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งในห้อง  เขาหล่อดูดีมาก ตอนนั้นผมตกใจกับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดนั้นมาก บอกกับตัวเองว่า  เฮ๊ย มึงเป็นบ้าไปแล้ว ผู้ชายที่ไหนจะมาชอบผู้ชายด้วยกัน ในโลกนี้คงไม่มีใครคิดอย่างนี้หรอก จากนั้นก็ไม่กล้าเก็บเอามาคิดอีก  จนมาเกิดขึ้นจริงๆในครั้งนี้กับบ๊อบ
ช่างเขียน  -  ตอนนี้พอจะบอกตัวเองได้รึยังว่า  เราเป็นอะไร ?
โต้น  - ผมเชื่อว่า ตัวเองคงไม่ใช่เกย์ เป็นเพียงผู้ชายปรกติธรรมดา ที่ทำอะไรไปก็เพราะอยากได้เงิน และผมไม่ชอบกระเทย  แต่วันนี้  ผมจะเป็นอะไรก็ช่าง  จะเรียกอะไรก็ได้  ไม่ค่อยใส่ใจ  เอาแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ให้ตัวเองมีความสุขที่สุดก็พอ  แล้วพี่ดูผมออกใหมว่า  ผมเป็นอะไรล่ะ
ช่างเขียน  - ดูภายนอก ก็แมน ประเภทหนุ่มไฮโซ แต่การแต่งตัวเนี๊ยบแบบนี้ทำให้ดูสำอางค์ไปหน่อย  ถ้าเดินไปกับผู้หญิง คงดูไม่ออก  แต่เมื่อไหร่เดินไปกับผู้ชายสองต่อสอง ก็พอจะบอกได้ แต่มึงก็ไม่ออกสาวเลยนี่
โต้น  - ตอนไม่มีเงิน  ผมก็ไม่ค่อยชอบแต่งตัวเท่าไหร่  แต่พอมีเงินมาก ไปซื้อเสื้อผ้าทีไร ก็ซื้อเสื้อผ้าถูกๆธรรมดาๆไม่เป็น  จะซื้อก็แต่ของที่แพงๆเข้าไว้ มันก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ล่ะ พี่
ช่างเขียน  -  เพื่อความสะใจ  เหมือนจะมาชดเชยอดีตที่ไม่มีปัญญาซื้อใช่มั๊ย
โต้น  -  จะว่างั้นก็ได้พี่   ผมตั้งใจไว้ว่า  อะไรที่ไม่เคยได้ทำ  ถ้ามีโอกาศก็จะทำให้ครบ  เออ ลืมถามพี่ไปว่า  พี่พักที่ไหนและจะกลับวันไหน ว่าแต่ คืนนี้พี่ว่างมั๊ย วันนี้เป็น วันเกิดผม  อยากชวนพี่ไปเที่ยวกลางคืนด้วยกัน
ช่างเขียน  - มาได้ 2 วันแล้วพักอยู่แถวสะพานควาย  มะรือนี่ว่าจะกลับ  แต่บ่ายนี้ตั้งใจว่าจะไปเดินแถวพันทิพ ไปหาซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ซักหน่อย  แต่ตอนกลางคืนว่าง  แล้วมึงตั้งใจจะไปเที่ยวที่ไหนกันล่ะ
โต้น  - ผมว่าจะไปฉลองวันเกิดที่ร้านเพื่อนของ บ๊อบ แถวสีลมครับ  พี่ โอ.เค มั๊ย
ช่างเขียน  - ได้ ๆ ถ้างั้นให้กูไปซื้อของก่อน  แล้วค่อยมาเจอกันอีกที ทุ่มตรง ที่ร้านแมคโดนัล สาขาหน้าพัฒน์พงษ์ นะ  บ๊อบ ผมจะขอไปทำธุระส่วนตัวก่อนนะ แล้วเจอกัน   ขอบใจ เว๊ยโต้น ไปล่ะ


โถงบันใดที่ เซ็นทรัลเวิลด์


ด้านหน้าของ เซ็นทรัลเวิลด์ มองเห็นฟาก เกษรพลาซ่า ข้างหน้า


ทีวีจอใหญ่ยักษ์กลางแจ้ง ตั้งอยู่ด้านหน้า เซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์



ห้างอิเซตัน ราชประสงค์


สภาพจราจร ตอนบ่ายวันจันทร์ บนถนนราชปรารภ



สี่แยกสะพานลอยประตูน้ำ




ย่านประตูน้ำ



พลาตินัม ประตูน้ำ ศูนย์รวมสินค้าแฟชั่น ที่โด่งดังติดอันดับโลก ( ด้านธุรกิจเสื้อผ้า )


ป้ายอัจฉริยะ ราคาเป็นล้าน


บรรยากาศริมถนนย่านประตูน้ำ จะเห็นสะพานลอยข้ามถนนแห่งแรกของประเทศไทย


ภายในห้างพันทิพ พลาซ่า  ศูนย์รวมสินค้าจำพวกไอทีและอุปกรณ์ต่างๆ ราคาถูก ( มาก )
เพราะร้านค้าที่นี่  เป็นผู้นำเข้าอิสระแบบไหนไม่ทราบ  ราคาสินค้าจึงถูกกว่าบริษัทมาก
อย่างเช่น ตลับหมึกพิมพ์อิ๊งเจ็ท ของแท้ 1 สี ตลับละเกือบ 500 แต่ที่นี่ชุด 5 สีแค่ 420 บาท
ก็เลยซื้อสะสมไว้เยอะๆ  เพราะที่นครพนมไม่มีร้านไหนคิดจะเอาของไม่แท้มาขายกัน


ต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงในการเดินดูข้าวของในห้างนี้ให้ทั่วถึงทั้ง 5 ชั้น


เมื่อได้ของครบถ้วนตามต้องการแล้ว  ก็ขึ้นรถไฟฟ้าที่ราชเทวี กลับสะพานควาย
เอาของไปเก็บแล้ว  ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปลุยราตรีคืนนี้กับคู่รักชายต่างวัย
ขณะที่นั่งรถไฟฟ้ามาศาลาแดง  ก็อดนึกถึงลูกน้องเก่าๆหลายคน ที่เส้นทางชีวิตคล้ายกับโต้น
แต่ส่วนใหญ่มักจะเดินได้ไม่ไกล เพราะชอบทำตัวเป็น สิบแปดมงกุฏ มากกว่า สิบแปดอรหันต์


จากสะพานควาย มาลงที่ ศาลาแดง ก็เกือบทุ่มตามนัด


พัฒน์พงษ์  ยามราตรี ในคืนวันจันทร์ ที่ถนนสีลม


ลงจากสถานีรถไฟฟ้าก็เดินมาอีกหน่อย ก็ถึงร้านแมคโดนัล อยู่หัวมุมถนนฝั่งตรงข้ามกับ พัฒน์พงษ์
ร้านแมคโดนัล สาขานี้โด่งดังและเป็นที่รู้จักของบรรดานักท่องเที่ยวทั่วโลก


พอเข้าไปในร้าน  ก็เจอคู่รักต่างวัยไทยอเมริกันนั่งคอยอยู่ที่โต๊ะ  ทั้งคู่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เหมือนกัน
โต้น  -  พี่จะรับไรดี  เดี๋ยวผมเดินไปซื้อให้  พี่นั่งกับบ๊อบเขาเถอะ  คนเยอะมากต้องรอนานซักหน่อย
ช่างเขียน  - พี่เอา ( เปลี่ยนสรรพนามให้เข้ากับบรรยากาศ เป็นครั้งแรก ) ชุดดับเบิ้ลชีสเบอเก้อร์  เพิ่ม โอเนียนริง และกาแฟร้อนนะ ขอบใจ แล้วของบ๊อบล่ะ
โต้น  - ของ บ๊อบ เขาก็ชอบกินเหมือนพี่ครับ  ( พูดจบก็เดินไปต่อแถว ที่ยาวมาก )
ช่างเขียน  - บ๊อบ  จะรังเกียจมั๊ย ถ้าผมจะถามเรื่องส่วนตัวระหว่างคุณกับโต้นสักหน่อย
บ๊อบ  -  ได้  ไม่เป็นไรครับ  ผมไม่มีอะไรจะปิดบัง
ช่างเขียน  -  ตอนแรกเจอ โต้น ที่บาร์แบบนั้น  และการอยู่ด้วยกันในวันนี้ คุณรู้สึกยังไงกับ โต้น 
บ๊อบ  -  ตอนแรกก็ไม่ค่อยแน่ใจ  แต่พอได้ทำความรู้จักเข้าใจกันแล้ว  ก็คิดว่า คนนี้ ใช่เลย  ที่ผมค้นหามานานแล้ว  ครั้งแรกที่ผมเจอโต้น  ผมออฟจากบาร์เป็นอาทิตย์เลยครับ  แล้วก็ไม่ผิดหวัง  เขาเหมือนคนฟอร์มสูง  แต่ตัวจริงแล้วเป็นคนซื่อๆตรงไปตรงมา  และผมก็ประทับใจ ในเรื่องที่เขาส่งเงินกลับบ้านให้พ่อแม่มาตลอดเลย  แต่ที่ผมรู้สึกดีที่สุดกับเขา ก็คือ  เขาเป็นคนไม่ชอบขอ หรือเรียกร้องอะไร  สุดแท้แต่ผมจะจัดการให้  ผมคิดว่า  ผมชอบและรักโต้นมากครับ  
ช่างเขียน  -  ตอนคุณไปเห็นบ้านพ่อแม่ของโต้นที่บ้านนอก  คุณรู้สึกยังไงบ้าง
บ๊อบ  - ผมเคยไปบ้านเขาหลายครั้ง  และเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่โต้นเขาทำ  ทำไปทำไมและเพื่อใคร อย่าลืมว่า โต้นเรียนน้อยมาก  แล้วจะให้เขาไปทำงานอย่างอื่นได้อย่างไร  พอผมเห็นสภาพบ้านของโต้น  ผมไม่รอให้โต้นเอ่ย  ผมบอกไปว่า  อยากทำบ้านให้พ่อแม่โต้นใหม่  แต่ โต้น บอกว่าเขาเกรงใจขอแค่ต่อเติมของเดิมให้สะดวกสบายขึ้นก็พอ  เมื่อเป็นอย่างนั้น  ผมก็เลยบอกโต้นว่า  ถ้างั้นผมจะซื้อรถให้อีกคัน โต้น ก็บอกไม่ขัดข้อง  เขาน่ารักมาก  รึ คุณว่าไง
ช่างเขียน  - ก็ดีครับ  สมมติว่า  ถ้าโต้นชวนคุณไปอยู่ด้วยกันกับเขาที่บ้านนอก  คุณคิดว่าจะทำได้มั๊ย
บ๊อบ  - ผมคงต้องทำใจอย่างมาก  เพราะไม่ชอบเห็นการข่มเหง เอารัดเอาเปรียบชาวบ้านของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะตำรวจบางพวกบางคน  มีครั้งหนึ่งที่เราขับมอเตอร์ไซต์ไม่ได้สวมหมวกกันน็อค  ตำรวจเขาไล่จับเหมือนกับเราเป็นคนร้ายขายยาเสพติด เรื่องนี้ถึงจะผิดระเบียบ แต่ก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร และมันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดนั้น 
ช่างเขียน  -  โต้น บอกว่าคุณเคยเป็นตำรวจที่อเมริกา ที่นั่นเขากวดขันวินัยจราจรอย่างเอาเป็นเอาตาย เรื่องไม่ใส่หมวกกันน็อค ไม่มีใบขับขี่  ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย เหมือนเมืองไทยมั๊ย 


" ไม่ใส่หมวกกันน็อค  ไม่ได้น็อคคนเดียว "

" ไม่ใส่หมวกกันน็อค ไม่ได้น็อค ( คนจน ) คนเดียว
เข้าทางโรงงานผลิตหมวกกันน็อคและตำรวจใหญ่น้อยผู้เสพติดเงินรางวัลจากคนจนเป็นอาจิณ
มีใครรู้ใหมว่า  เงินรางวัลค่าปรับเกือบทั้งหมดเข้ากระเป๋าตำรวจ คือ 50 บาทเข้าหลวง 10 สลึง
ผลจากการแก้ระเบียบเพิ่มเงินรางวัลในสมัยรัฐบาลทักษิน ขวัญใจคนรากหญ้า


การสวมหมวกกันน็อค ที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต


ปฏิบัติการรณรงค์ส่งเสริมให้ " 2554 ปีแห่งการสวมหมวกกันน็อค 100 % "


ประโยชน์ของการสวมหมวกกันน็อค 100 %


รัฐบาลหน้าโง่ อุตส่าห์มีนายกฯเป็นนักเรียนนอก  เชื่่อหรือว่า 
การสวมหมวกกันน็อคเพียงอย่างเดียว  โดยไม่พูดถึงการจำกัดความเร็ว จะลดอุบัติเหตุได้
ที่อเมริกายุโรปหรือไหนๆ เขาต้องใช้มาตรการป้องกันอุบัติเหตุ 2 อย่างควบคู่กันไปทั้งนั้น
ก่อนเกิดเหตุ  ต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิด   โดย  การจำกัดความเร็ว
 หลังเกิดเหตุ  ต้องมีมาตรการป้องกันการบาดเจ็บ   โดย การสวมใส่อุปกรณ์นิรภัย 
ไม่เคยเห็นรัฐบาลชุดนี้ พูดถึงการจำกัดความเร็ว ให้เป็นสากลเหมือนประเทศอื่นเลย
กลัว  จราจรมันจะร้อน มันจะเหนื่อยรึไง 



ทุกปีจะมีข่าว พวกดาราหรือคนรวยขับรถแพงๆซิ่ง ชนคนตายเป็นประจำ ก็ไม่เห็นมีใครพูดถึง
หรือว่า  พวกที่ออกกฏหมาย อย่าง นักการเมืองหรือข้าราชการ ก็ชอบขับรถเร็วเหมือนกัน
จึงไม่อยากพูดถึงมาตรการ การจำกัดความเร็ว  เพราะจะทำให้รถแพงๆขายไม่ออก  
  

ชะนีผู้ประกาศข่าวนางนี้ ชอบกรอกหูชาวบ้านเป็นประจำด้วยการบอกความจริงไม่หมดว่า 
การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นเพราะการขับขี่รถมอเตอร์ไซต์ที่ไม่สวมหมวกกันน็อค 
แล้วเธอจะรู้มั๊ยว่าที่ มันคอหักตายคาหมวกกันน็อค หรือโดนชนตายคาหมวกกันน็อค ปีนึงกี่ศพ






ตำรวจเขียน  ต้องสวมหมวก ฝ่าฝืนปรับ 400 บาท
กฎหมายเขียน  จะว่ากล่าวตักเตือน หรือ จะเขียนใบสั่งให้จ่ายค่าปรับก็ได้
ถามว่า กฏหมาย หรือ ประกาศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  อะไรสำคัญกว่ากัน
ปัญหาของตำรวจไทย ก็คือ การตีความครับ


รถวิ่งกันทั้งวันทั้งคืน ก็มีปัญญารักษากฎหมายได้แค่วันละ 14 ชั่วโมงเท่านั้น
นี่คือ ข้อจำกัดของตำรวจ  ในประเทศไทย
ประเทศที่เจริญแล้ว  การรักษากฎหมายจราจร จะต้องมีรถตำรวจลาดตระเวน 24 ชั่วโมงครับ







บ๊อบ  -  ไม่มีครับ ที่โน่น ตำรวจเขาจะจับตาดูเรื่องความเร็วก่อนอย่างอื่น ถ้าพบใครขับเร็วถึงจะโบกให้หยุดเพื่อตรวจใบขับขี่ก่อนเขียนใบสั่ง   เพราะเราเชื่อว่าการขับรถที่เร็วมากไม่ว่าจะด้วยความมึนเมาหรือคึกคะนอง  มันคือ ต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ  และถือเป็นมาตรการที่เข้มที่สุด ใครขับเร็วต้องโดนใบสั่งในทันทีไม่มีลดหย่อน  โดนใบสั่งบ่อยๆเขาก็ริบใบขับขี่  เห็นป้ายเขียนตัวเลขไหนก็ต้องขับในความเร็วไม่เกินนั้น  เช่น  ย่านชุมชน ย่านโรงเรียน ย่านราชการ ความเร็วจะต้องต่ำสุด  ส่วนในเมือง หรือ ทางหลวง ก็จะแตกต่างกันไป  ส่วนใครจะสวมหมวกกันน็อค หรือ คาดเข็มขัดหรือไม่  ไม่มีใครเดือดร้อนด้วย  แต่มันจะเกี่ยวกับการประกันภัย และผลประโยชน์ของผู้ทำประกัน  
ช่างเขียน  - เกี่ยวกับประกันยังไง
 บ๊อบ  - ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ  บริษัทประกันภัยจะต้องไปดูบันทึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าผู้ขับขี่รถคันนี้ได้ปฏิบัติตามกฏว่าด้วยความปลอดภัยแล้วหรือยัง  ก่อนที่จะจ่ายหรือปฏิเสธการจ่ายเงินประกัน  เช่น  ถ้าพบว่า ผู้ขับขี่เมาขับรถเร็วหรือไม่คาดเข็มขัด เมื่อเกิดอุบัติเหตุบริษัทประกันก็จะปฏิเสธการรับผิดชอบ เช่น ค่าซ่อมรถ หรือ ค่ารักษาพยาบาล  ซึ่งการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลที่นั่นมันแพงมาก  เงินที่หามาทั้งปีอาจจะหมดได้ถ้าคุณต้องจ่ายเงินเอง ผมคิดว่า  เหตุที่คนอเมริกันยอมปฏิบัติตามกฏจราจรนั้น  ไม่ใช่ว่าเขาเคารพกฏหรือว่านอนสอนง่ายหรอก  แต่เขากลัวค่ารักษามหาโหดและอดได้เงินทำขวัญก้อนใหญ่จากบริษัทประกันต่างหาก
ช่างเขียน  - อ๋อ เหมือนเคสของน้องชายผมเลย เขาอยู่ที่วอชิงตัน  ตอนนั้นเขาขับรถพาลูกเมียไปเที่ยวแล้วเกิดอุบัติเหตุ  ทุกคนคาดเข็มขัดและไม่ได้ทำอะไรผิดระเบียบ  บริษัทประกันต้องรับผิดชอบ ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมรถและจ่ายเงินค่าทำขวัญให้คนละห้าหมื่นเหรียญ  เรียกว่าเจ็บตัวแต่คุ้ม เอ้า โต้นมาแล้ว
โต้น  - คนเยอะมาก เลยต้องรอนานหน่อย  นี่ของพี่  นี่ของบ๊อบ
ช่างเขียน  - ขอบใจ โต้น เบอเก้อร์นี่ที่บ้านนอกไม่มีขาย มาคราวนี้ก็เลยต้องกินให้ครบ 3 มื้อ เอ้าเชิญ
บ๊อบ  - ผมก็เหมือนกันที่นานๆถึงจะออกมาหากิน  เพราะเดี๋ยวนี้เราทำอาหารไทยกินทุกวันครับ
โต้น  - บ๊อบ เขาชอบกินเผ็ด เช่น ต้มยำ หรือ ส้มตำไก่ย่าง
ช่างเขียน  - เออ ดีนะ เอ้าอิ่มกันทุกคนแล้ว  จะไปกันรึยัง  ว่าแต่จะไปที่ไหนล่ะ
โต้น  - สีลม ซอย 4 พี่ ร้านเพื่อนของ บ๊อบ อยู่ที่นั่น
ช่างเขียน  - โฮ๊ย  นั่น แหล่งรวมพวกเกย์ฝรั่งเลยล่ะ  เอางี้มั๊ย โต้น  เราเพิ่งกินอิ่ม ลองไปเดินเล่นดูเขาขายของให้อาหารย่อยดีซะก่อน แล้วไปแวะนั่งกินเบียร์ ที่บาร์นี่ขวด บาร์นั่นขวด แถวพัฒน์พงษ์ ก่อนจะไปซอย 4  เพราะ พี่ อยากเห็นบรรยากาศที่หลากหลาย แบบที่คนบ้านนอกไม่ค่อยได้เห็น
โต้น  - ก็ได้ครับ  ตามใจพี่  ไป บ๊อบ



ข้ามฝากไปเดินย่อยอาหาร ดูเขาขายของสวยงามจิปาถะที่ พัฒน์พงษ์ 


ร้านขายของสำหรับนักท่องเที่ยว  ในย่านพัฒน์พงษ์




วันนี้เป็นวันจันทร์ เขางดขายสินค้าบนทางเท้า  คนจึงบางตากว่าทุกๆวัน


บรรยากาศของถนนสีลม ย่ามค่ำคืน


ไม่ค่อยมีคนเดิน



แวะนั่งดิ่มเบียร์ที่นี่ขวดนึง




เดินผ่านย่านญี่ปุ่น ถนน ธนิยะ  ย่านบันเทิงยอดนิยมของนักธุรกิจพนักงานบริษัทชาวญ๊่ปุ่น



ถึงแล้วปากทางเข้า สีลม ซอย 4 อันโด่งดัง


สีลม ซอย 4  แหล่งนัดพบ แหล่งอ่อยเหยื่อ หรือ ล่าเหยื่อ ของพวกเกย์ฝรั่งในกรุงเทพ


ถึงบาร์ของเพื่อน บ๊อบ อยู่กลางซอยก็เข้าไปนั่ง สักครู่ก็มีฝรั่งคนหนึ่งตรงเข้ามาหา
บ๊อบ  - โต้น คุณใหญ่  นี่ ชาร์ลี เพื่อนผม เขาเป็นหุ้นส่วนของที่นี่
ช่างเขียน  - ยินดีที่ได้รู้จักครับ
ชาร์ลี  - เช่นกัน  วันนี้ตามสบายนะครับ  ผมเตรียมเค็กและไวน์ให้ และสั่งเด็กอยู่คอยบริการพวกคุณเป็นพิเศษสำหรับคืนนี้แล้ว เชิญครับ  เด็กๆเสริฟไวน์ได้แล้ว
โต้น  - พี่รู้มั๊ยว่า  ผมไม่เคยเข้ามาเที่ยวบาร์เกย์ในกรุงเทพเลย  นี่เป็นครั้งแรก เรื่องนี้ผมขอ บ๊อบ แล้ว เขาก็ไม่ขัดใจ  เลยจัดโปรแกรมฉลองวันเกิดให้ผมที่นี่
ช่างเขียน  - บ๊อบ คุณเตรียมของขวัญให้ โต้น รึยัง
บ๊อบ  - มีแล้วครับ ( ชูกล่องของขวัญเล็กๆใบนึง เดาเอาว่าคงเป็นนาฬิกา )  แล้วคุณใหญ่ มีของขวัญให้ โต้น มั๊ย
ช่างเขียน  - ( เงียบไปอึดใจ  แล้วเอียงหน้าไปกระซิบ บ๊อบ ว่า )  โต้น ยังไม่เคยมีอะไรกับคนไทยเลย  ถ้า ผมอยากจัดการเรื่องนี้ให้ โต้น เซอไพ้รท์เป็นของขวัญวันเกิด  คุณจะว่าอะไรมั๊ย
บ๊อบ  -  ( เงียบไปอึดนึง หน้าเครียดนิดๆ ) ถ้าคุณใหญ่คิดแบบนี้  ผมไม่กล้าขัด  ก็ได้ครับ  แล้วแต่ว่า โต้น เขาจะรับหรือเปล่า
ช่างเขียน  - (  ล้วงกระเป๋ากางเกง เอากล่องของขวัญที่เป็นถุงยางอนามัย 1 กล่อง มีเบอร์โทรศัพท์ ของลูกน้องเก่า  ที่รู้จักนักขายมือสมัครเล่นเยอะมาก  ชูให้ บ๊อบ ดู )  บ๊อบ ผมว่าให้เด็กเอาเค็ก ออกมาได้แล้ว
บ๊อบ -  ดีครับ  ได้เวลาตักเค็กแล้ว
                  พนักงานเสริฟ ยกจานขนมเค็กที่มีเทียนจุดแล้วมาที่โต๊ะ  โต้น ทำท่าจะเป่าเทียน
บ๊อบ  - คุณใหญ่ครับ  เรามาร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้ โต้น กัน Happy birthday ..............to you ........
ช่างเขียน  - Happy birthday 
                     โต้น เป่าเทียนดับแล้ว  ก็ตัดเค็ก ส่งให้ทุกคน
บ๊อบ  - โต้น  Happy birthday นะ  ( อวยพรจบ  ก็ส่งกล่องของขวัญให้ โต้น พร้อมกับหอมแก้ม 1 ฟอด )
ช่างเขียน  -  สุขสันต์วันเกิด โต้น ขอให้มีความสุขมากๆในปีนี้  บ๊อบ และ โต้น  วันนี้ผมสนุกและมีความสุขมากที่ได้มาพบเจอพวกคุณ  ใจผมก็อยากจะนั่งต่อ  แต่ฝืนสังขารตัวเองไม่ไหวเพราะวันนี้ผมเดินทั้งวัน  จึงอยากขอตัวกลับก่อน  คงไม่ว่าอะไรนะ  และขอขอบคุณสำหรับทุกอย่างในคืนนี้อีกครั้ง 
        ( พูดจบ ก็ยัดกล่องของขวัญเล็กๆนั้นใส่มือ โต้น แล้วกระซิบเบาๆข้างหู  )  โต้น เปิดดูแล้ว โทร. ไปหาคนๆนี้นะ   แล้วจะได้ทำในสิ่งที่ยังไม่เคยโดนซักที  โชคดีนะโว๊ยไอ้น้อง  ขอให้มีความสุขในคืนนี้ 
                                       ไปล่ะ โต้น  กู๊ดไนท์ บ๊อบ    






งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ก็ได้เวลาขึ้น ลิมโมซีนคันยาว กลับไปนอนที่สะพานควายอย่างเดิม

สวัสดีครับ


อยากไปเร็ว  ก็ให้รีบไป   อยากไปไกล  ให้รอไปด้วยกัน
จับตา  สามยาม
5 เมษายน 2554